เราเรียนรู้ร่วมกันเรื่องหม้อห้อม
เราเรียนรู้ร่วมกันเรื่องหม้อห้อม
เจอหัวเรื่องแบบนี้ หลายคนอาจถามว่า "ทำไมล่ะ?" เพราะคำว่าหม้อห้อมเป็นเครื่องหมายของเมืองแพร่ไปแล้ว อย่างเดียวกับเรื่องไม้สัก
เวลาที่คนไทยพูดถึงไม้สักก็คิดถึงเมืองแพร่ หรือ
เวลามาเมืองแพร่แล้วจะไปไหน
ร้อยละ 90 จะบอกว่า พระธาตุช่อแฮ
....
"ทำไมล่ะ?" หม้อห้อมมัดย้อมฮิตมากในช่วงปีสองปีมานี้ ผมก็ดีใจไปด้วย เพราะเสื้อยืดหม้อห้อมมัดย้อมกลายเป็นเสื้อทีมของคนแพร่ไปแล้ว ทีมครอบครัว ทีมที่ทำงาน ใส่เสื้อเหมือนๆ
กันเวลาไปเที่ยวด้วยกัน
เก็บความสุขความทรงจำด้วยกัน บางงานแต่ง
ก็ใช้ธีมหม้อห้อม หรือ
แม้แต่ไปสัมมนา อบรม ก็ใส่เสื้อมัดย้อมเป็นทีม
ก็ถือว่าเป็นสัตตยาบันการร่วมปณิธานเดียวกันภายใต้สัญญลักษณ์หม้อห้อม หม้อห้อมนี่นี้เป็นพยาน น่อ
ทำไมเรารู้สึกทันสมัยเมื่อได้ใส่หม้อห้อมมัดย้อม ผมว่า ก็เพราะเราไม่ได้รับรู้มาก่อนว่าเรามัดย้อมหม้อห้อมก็ได้ ลายง่ายๆ ก็ดูดีได้
ยิ่งเรียนรู้วิธีการมัดที่ซับซ้อนก็ยิ่งตื่นเต้นเวลาที่เห็นผลงานออกมาหลังจากย้อม
เป็นความประทับใจในศิลปะที่แต่ละคนได้สร้างสรรค์จินตนาการลงไป
ผมสนใจหม้อห้อมมากตอนที่ต้องนำสินค้าท้องถิ่นไปขายในงานมหาวิทยาลัย เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว ความที่เราอยู่ในเมืองหม้อห้อม ก็เข้าใจว่า
สินค้านี้น่าจะขายดี เพราะแปลก แต่ผลที่ได้คือ ขายได้ไม่กี่ตัว ต้องเอาขึ้นรถทัวร์กลับมาคืนผู้ผลิตซึ่งเป็นพี่สาวของเพื่อน ที่บ้านพระหลวง หมู่บ้านหนึ่งในจังหวัดแพร่ที่มีชื่อเสียงด้านหม้อห้อม ตอนนั้นผมจึงเรียนรู้ว่า
การตลาดเรื่องหม้อห้อมนอกจังหวัดแพร่นั้น เป็นอีกอย่าง ไม่ใช่ใครๆ ก็ใช้หม้อห้อมแบบคนแพร่ แต่ก็นั่นแหละครับ ตอนนั้นหม้อห้อมก็จะแบบไม่กี่อย่าง ส่วนมากเป็นแบบเสื้อกุยเฮง คอกลมแบะหน้าติดกระดุม หรือ ผูกเชือก
นี่ก็เดิ้นแล้ว
ได้สัมผัสเรื่องหม้อห้อมอย่างจริงจัง
ตอนที่จะหากินกับมันนี่แหละ
ตั้งความหวังสูงว่าจะทำการตลาดด้วยความฮิตนี่แหละ แต่ก็ต้องรู้จักทำใจตั้งแต่ตั้งต้น เพราะทุกอย่างต้องเรียนรู้ใหม่หมด และแต่ละอย่างก็มีความ "แท้"
ที่แตกต่าง สร้างความท้าทายมากขึ้นๆ เรื่อยๆ ให้กับตัวเอง
ผมโดนการเปลี่ยนสีของเส้นด้ายตอนลงหม้อย้อมสะกดซะอยู่หมัด มันน่าทึ่งจริงๆ ที่เห็นด้ายขาวเป็นเหลือง เขียว
เป็นสีฟ้า และเป็นสีน้ำเงินถ้ายิ่งย้อมมากขึ้น
ผมปรับเปลี่ยนจากแนวคิด
"ย้อมที่หมู่บ้าน" มาตั้งโรงย้อมที่ร้าน เพราะเรียนรู้ว่าสังคมบ้านเราเปลี่ยนไป เราทันสมัยกันขึ้น ไม่ได้คุ้นชินกับการย้อมธรรมชาติแล้ว ผมนำครามจากอีสานมาฝึกตั้งหม้อย้อม
โดยมีมือดีที่มีความพากเพียรมาเป็นขุนพลหลัก
เจ้าขุนพลหลักนี่แหละ
ที่เรียนรู้เรื่องหม้อห้อมแล้วมาถ่ายทอดให้ผมอีกที ก็จำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่เธอ ขุนพลคนนั้น เรียนรู้ด้วยตัวเอง
จนทำได้
และใช้หม้อห้อมสอนเรื่องการใช้ชีวิตกับปัจจุบัน
ประมาณเกือบ 20 ปี
ที่ทำหม้อห้อมจนหม้อห้อมกลายมาเป็นวาระของจังหวัดแพร่ อีกครั้งหนึ่ง เราตั้งความหวังไว้ว่าให้เมืองแพร่เป็น
"ฮับหม้อห้อม" ฮับ หรือ Hub
ที่หมายถึงศูนย์กลางของหม้อห้อม
ซึ่งถึงตอนนี้ เราก็เป็นจริงๆ
ใครอยากได้ก็มาที่นี่ ทั้งในประเทศ หรือ ต่างชาติต่างภาษา แต่นอกจากคนผลิตเสื้อหม้อห้อมแล้ว
จะมีสักกี่เปอร์เซ็นต์ที่รู้ว่า ผ้าหม้อห้อมที่แพร่นี่ โรงงานเขาผลิตให้ขายเฉพาะที่แพร่ ถ้าซื้อที่อื่นก็เนื้ออื่น สีอื่นย้อม จนช่วงปี สองปีนี้ ได้ข่าวว่า คนอีสานมาซื้อเคมีหม้อห้อมที่แพร่
( เคมีหม้อห้อม
หมายถึงสารสังเคราะห์ที่ใช้ในการย้อมหม้อห้อม) และ ตอนนี้ก็มีสีสังเคราะห์อีกชนิดหนึ่ง
ที่เรามาย้อมกันง่ายๆ แพร่หลายมากขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งผมคงต้องหาความรู้ต่อว่า มันเป็นอะไร
ใช่ อินดิโก (Indigo) หรือ หม้อห้อมมั้ย?
มีสูตรเคมีโครงสร้างทางเคมีเหมือนกันไหม?
ต่อให้คนจังหวัดอื่นทำหม้อห้อมมากขึ้น ผมก็ไม่กลัวว่าคนทำหม้อห้อมเมืองแพร่จะลำบาก เพราะยิ่งทำมากจังหวัดก็ยิ่งมีลูกค้ามาก และ สินค้าก็จะพัฒนาทั้งรูปแบบ และวิธีการผลิตมากขึ้น
ตอนนี้
สิ่งหนึ่งที่ผมอยากเห็นในเมืองแพร่คือ
คนย้อมหม้อห้อมทั่วไปเรียนรู้ที่จะนำเนื้อห้อมธรรมชาติ มาผสมใช้กับหม้อห้อมสังเคราะห์ที่ใช้กันส่วนมาก เพื่อให้เมืองแพร่มีป่ามากขึ้น
(เพราะหม้อห้อมต้องอาศัยป่า จึงปลูกได้)
ให้คนปลูกมีแรงจูงใจพากันปลูกมากขึ้น
ถ้ามีความต้องการใช้มากขึ้น และเพื่อลดอันตรายจากเคมีหม้อห้อม
ทั้งต่อสุขภาพตนเอง รวมถึงลดสิ่งแปลกปลอมที่จะไปสู่สภาพแวดล้อม
เนื้อห้อมธรรมชาติที่ผลิตในปีนี้ ได้เพียงหลัก 1,000 กิโลกรัม
นับว่าเป็นส่วนน้อย
เมื่อเทียบกับจำนวนหม้อห้อมสังเคราะห์ที่เข้ามาใช้ในเมืองแพร่ เรามาเรียนรู้ด้วยกัน
ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรที่คนแพร่จะร่วมใจกันแค่ไหน ....
คนแพร่ช่วยคนปลูกห้อมแค่ไหน...
วันนี้ผมได้ทำงานร่วมกับกลุ่มผู้ประกอบการหนึ่ง
ที่เรียกตัวเองว่า แพร่คราฟท์ เป็นการรวมตัวอย่างหลวมๆ
ของผู้ประกอบการหัตถกรรม เพื่อพัฒนาตัวเองและพัฒนาสินค้าให้เป็นของจังหวัดแพร่
โดยใช้กิจกรรมเป็นเครื่องแลกเปลี่ยนเรียนรู้
วันนี้เราถ่ายภาพสินค้าเพื่อนำไปจัดแสดงในงานนิทรรศการเชียงใหม่ดีไซน์วีค
ที่จะจัดในเดือนธันวาคม 2560 ถัดจากที่เราจัดงาน "แพร่คราฟท์" วันที่
2-3 ธันวาคม 2560 ไปอีก 2-3 วัน
ผมเห็นงานที่แปลกไปจากหม้อห้อมเดิมๆ
ที่เราคุ้นเคย ที่มัดย้อมก็พยายามพัฒนางานตัวเองให้แตกต่าง ที่ทอ
ที่ปัก ก็แปลกทั้งรูปแบบ แปลกทั้งวัสดุ
และแปลกใจที่ได้ทราบว่า มีคนแปลกๆ มากมายที่นิยมชมชอบงานของพวกเขา
ลูกค้าของกลุ่มนี้แตกต่างกันแต่ละรายจะสนใจงานตามประเด็นที่ตนมีความสนใจเป็นพื้นฐาน พัฒนาขึ้นมาจากการดูแค่รูปลักษณ์ มาเป็นความแตกต่าง ความเป็นสินค้าชุมชน ความเป็นสินค้าที่ผ่านการออกแบบร่วมสมัย ความเป็นสินค้าที่สื่อแนวคิดทางสังคมต่าง ๆ ซึ่งการเลือกใช้สินค้าของคนเหล่านี้ บ่งบอกตัวตน บ่งบอกรสนิยม ว่าพวกเขาพิถีพิถันในการเลือกใช้เลือกอยู่
เลือกกิน
การได้รับรู้เรื่องลูกค้าที่แตกต่าง สร้างความอยากรู้ให้ผมมากขึ้น แต่ที่อยากรู้มากกว่าก็คือ
ผมอยากรู้ว่าคนหนุ่มๆ พวกนี้ ในแพร่คราฟท์นี่
เขาจะคราฟท์เมืองแพร่ไปทางไหน
อย่างไร.... มาเรียนรู้ร่วมกันครับ...